ซ่อมลิฟท์

เทคนิคการเลือกใช้บริษัทซ่อมลิฟท์อย่างมืออาชีพ

เทคนิคการเลือกใช้บริษัทซ่อมลิฟท์อย่างมืออาชีพ

5 เทคนิคการเลือกบริษัทซ่อมลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ในบ้าน (Home Lift) ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ส่งอาหารอย่างมืออาชีพ

ในปัจจุบันถึงแม้ว่าพวกเราทุกคนจะเคยชินกับการใช้ลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ในบ้าน (Home Lift) ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ส่งอาหารกันหมดแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเครื่องจักรที่จำเป็นต้องได้รับการติดตั้งเป็นอย่างดี และต้องได้รับการตรวจสอบพร้อมซ่อมบำรุงอย่างเคร่งครัดเป็นประจำด้วย เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นมาเมื่อไร และถ้ารอจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา นั่นก็หมายความว่ามีโอกาสที่คนจะได้รับบาดเจ็บแล้ว ซึ่งในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคนคนนั้นอาจจะต้องสูญเสียอวัยวะ หรือชีวิตไปเลยก็ได้ ดังนั้นเมื่ออาคาร หรือพื้นที่ต่าง ๆ ทำการติดตั้งลิฟท์เรียบร้อยแล้ว ความสำคัญลำดับต่อไปที่ต้องเตรียมความพร้อมเอาไว้เสมอ ก็คือการมองหาบริษัทดูแล และซ่อมลิฟท์ที่มีคุณภาพไว้คอยดูแลเรื่องความปลอดภัยในทันที ดังนั้นวันนี้เราเลยจะมาแนะนำ 5 เทคนิคการเลือกบริษัทซ่อมลิฟท์โดยสาร ลิฟต์บ้าน (Home Lift) ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ส่งอาหารมืออาชีพ ก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการ เพื่อช่วยคัดกรองให้ทุกคนสามารถเลือกบริษัทซ่อมลิฟท์ได้อย่างมีคุณภาพ ไร้ความกังวล

  1. ค้นคว้าข้อมูลของบริษัทซ่อมลิฟท์ให้แน่น และลิตส์รายชื่อเอาไว้ในมากกว่าหนึ่งแห่ง
    ไม่ว่าทุกคนจะตัดสินใจซื้อสินค้า หรือใช้บริการใด ๆ ก็ตาม เชื่อว่าขั้นตอนแรกที่ทุกคนต้องทำแน่นอน ก็คือการตรวจสอบข้อมูลของร้านค้า หรือบริษัทที่เราสนใจ ว่าในวงการนั้น ๆ มีบริษัทไหนบ้างที่มีชื่อเสียงในด้านที่เราต้องการ แล้วบริษัทที่เราเล็งไว้มีสถานที่ตั้งเป็นหลักแหล่งหรือไม่ หน้าเว็บไซต์เป็นอย่างไร และมีคำวิจารณ์แบบไหนจากลูกค้าคนอื่น ๆ บ้าง เพื่อเป็นการประเมินในขั้นต้นว่าสมควรใช้บริการหรือไม่ ซึ่งหลังจากที่ทุกคนลองค้นคว้า และตรวจสอบข้อมูลของบริษัทซ่อมลิฟท์จากหลาย ๆ แหล่งแล้ว เราขอแนะนำว่าอย่าเพิ่งปักใจไว้ที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งในทันที แต่ควรลิสต์รายชื่อไว้สัก 5 – 10 ชื่อ เพื่อนำข้อมูลมาเปรียบในขั้นอื่น ๆ ต่อไป เพราะจะช่วยให้เราได้ตัวเลือกที่ดีต่อความต้องการของเรามากที่สุด

  2. ประเมินเรื่องประสบการณ์และความชำนาญของบริษัทซ่อมลิฟท์
    เทคนิคข้อต่อมานั้นถือว่าต่อเนื่องมาจากเทคนิคข้อแรกเลย นั่นก็คือการพิจารณาในส่วนของประสบการณ์ และฝีมือการทำงาน โดยหลังจากที่ทุกคนเลือกบริษัทที่ถูกใจมาได้จำนวนหนึ่งแล้ว เราก็ต้องเริ่มตัดออกไปทีละแห่งจนกว่าจะเหลือบริษัทซ่อมลิฟท์ที่มีบริการตรงใจมากที่สุด ซึ่งประสบการณ์ทำงานของแต่ละบริษัทนับว่าเป็นหัวข้อวัดกึ๋นกันเลยทีเดียว เพราะยิ่งมีประสบการณ์มากก็ยิ่งมีความน่าเชื่อถือมาก เนื่องจากการดำเนินกิจการมาได้อย่างยาวนาน แปลว่าต้องมีลูกค้าตลอด และมีช่างที่มีฝีมืออยู่มาก ถึงได้รับการไว้วางใจ และใช้บริการมากขนาดนี้ ดังนั้นการเลือกจากประสบการณ์การทำงาน ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจได้ อย่างไรก็ตามเราไม่ได้หมายความว่าบริษัทที่มีประสบการณ์น้อยจะไม่ดีไปเสียหมด เพียงแต่เราอาจจะต้องพิจารณาให้รอบด้านมากขึ้นกว่าเจ้าที่มีประสบการณ์เท่านั้นเอง

  3. สังเกตจากรูปแบบของบริการซ่อมลิฟท์ว่าตอบโจทย์ของเราหรือไม่
    อีกหนึ่งเทคนิคที่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจได้แน่นอน คือพิจารณาจากแผนการทำงานที่บริษัทซ่อมลิฟท์แต่ละแห่งนำเสนอ เช่น บางบริษัทอาจจะชูจุดเด่นว่าบริษัทของพวกเขานั้นให้มากกว่าการซ่อมแซม เพราะมีบริการตรวจเช็กรายเดือน และรายปีให้เลือก หรือบางแห่งอาจจะเสนอว่าพวกเขามีทีมช่างประจำที่พร้อมดำเนินการซ่อมแซมให้ในทันทีเมื่อเกิดการชำรุดเสียหายแบบไม่จำเป็นต้องรอนาน และบางแห่งก็อาจจะนำเสนอถึงขั้นมีบริการปรับปรุงลิฟท์ให้ดีเหมือนใหม่ที่เหนือกว่าการซ่อมแซมตามปกติให้เราเลือกใช้บริการอีกด้วย แน่นอนว่าทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยข้อดี แต่เราก็ต้องมาตรวจสอบกันอีกทีว่าสถานที่ของเราอยากได้บริการแบบไหนมากกว่า หรือถ้ามีบริษัทไหนที่พร้อมให้บริการทั้งหมดแบบครบถ้วน ก็ลิสต์เอาไว้เป็นอันดับต้น ๆ ได้เลย

  4. ขอใบเสนอราคาซ่อมลิฟท์ เพื่อเปรียบเทียบงบประมาณที่เหมาะสมที่สุด
    นอกเหนือจากประสบการณ์ และแผนการทำงาน เรื่องงบประมาณก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจมาก ๆ เพราะฉะนั้นเมื่อเรารวบรวมรายชื่อบริษัทซ่อมลิฟท์ที่มีบริการสูสีกัน และครอบคลุมทุกความต้องการของเราได้ครบแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการขอใบเสนอราคาเพื่อนำราคาของแต่ละแห่งมาเปรียบเทียบว่าราคาลิฟท์บ้าน (Home Lift) ลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ส่งอาหาร หรือลิฟท์ประเภทต่าง ๆ ของเขาเป็นอย่างไร ซึ่งนอกจากขั้นตอนนี้จะช่วยให้เราประเมินราคาได้ง่ายขึ้นแล้ว เรายังสังเกตเห็นความเป็นมืออาชีพของแต่ละบริษัทได้ง่ายขึ้นผ่านการติดต่อพูดคุยในครั้งนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นมารยาทในการทำงาน ความเป็นมืออาชีพ และความพร้อมที่จะช่วยเหลือหรือปรับเปลี่ยนแพ็กเกจต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการของเราให้มากที่สุด หรือเรียกง่าย ๆ ว่าสังเกตความกระตือรือร้นนั่นเอง

  5. เลือกบริษัทซ่อมลิฟท์ที่ให้บริการแบบครบวงจร
    มาถึงเทคนิคข้อสุดท้าย ก็คือการเลือกบริษัทลิฟท์แบบครบวงจร กล่าวคือบริษัทนั้น ๆ ควรเป็นบริษัทที่จัดจำหน่ายลิฟท์ พร้อมบริการติดตั้งลิฟท์ ซ่อมบำรุง และปรับปรุงลิฟท์ในคราวเดียวกันมาตั้งแต่แรก เนื่องจากการเลือกแบบนี้ตั้งแต่ต้น จะช่วยตัดปัญหาในการหาบริษัทซ่อมลิฟท์ได้มากขึ้น เพราะเราสามารถทำสัญญาทุกอย่างได้ภายในคราวเดียว ทั้งการซื้อลิฟท์ ติดตั้งลิฟท์ ไปจนถึงการตรวจเช็ก และซ่อมแซมลิฟท์ให้กับเรา ไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก และได้รับการดูแลยาว ๆ ไปเลย อีกทั้งการทำสัญญาแบบครบวงจรยังช่วยเพิ่มโอกาสให้เราสามารถพูดคุย และต่อรองเพื่อได้รับส่วนลด หรือโปรโมชันต่าง ๆ ได้มากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นถ้าใครเพิ่งเริ่มศึกษาเรื่องการติดตั้งลิฟท์ การเลือกแบบนี้ไปเลยก็จะช่วยให้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าใครเลือกติดตั้งกับบริษัทที่ไม่ได้ดูแลครอบคลุมเรื่องการซ่อมบำรุงไปแล้ว ก็สามารถใช้เกณฑ์นี้ในการเลือกบริษัทซ่อมลิฟท์ได้เช่นกัน เพราะบริษัทที่ทำงานครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำแบบนี้ ย่อมการันตีถึงคุณภาพการทำงานได้ดีแน่นอน

    เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 5 เทคนิคการเลือกบริษัทซ่อมลิฟท์มืออาชีพ ก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เชื่อว่าหลังจากอ่านจบแล้วทุกคนจะต้องหาบริษัทซ่อมลิฟท์ที่ตรงใจได้อย่างแน่นอน ส่วนท่านใดที่มองหาบริษัทลิฟท์แบบครบวงจร ก็ไม่ต้องมองหาที่ไหนไกล เพราะบริษัท เจเค คอนซัลท์เซอร์วิส ซีสเต็ม จํากัด ของพวกเรายินดีให้บริการทุกท่านอย่างเต็มที่ โดยเรามีลิฟท์บ้าน ราคาย่อมเยา และลิฟท์ประเภทอื่น ๆ พร้อมจัดจำหน่ายครบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นลิฟท์โดยสาร ลิฟต์บ้าน (Home Lift) ลิฟท์ส่งอาหาร ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ รวมถึงบริการซ่อมลิฟท์ ตรวจเช็กสภาพลิฟท์ และปรับปรุงลิฟท์ให้เหมือนใหม่ หากสนใจสามารถปรึกษา หรือขอใบเสนอราคาจากเราได้ตลอดเวล

สนใจติดตั้งลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ในบ้าน (Home lift) ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ส่งอาหาร พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษได้ที่

โทร
ติดต่อ
line
Read More
ลิฟท์โดยสาร

รับมือกับปัญหาไฟลิฟท์โดยสารดับ ด้วยแบตเตอรี่สำรองไฟ

แนะนำวิธีการรับมือปัญหาไฟฟ้าดับ และไฟไหม้สำหรับลิฟท์โดยสาร ด้วยระบบแบตเตอรี่สำรอง และระบบ Fire Switch

ถ้าเราจะพูดกันถึงสิ่งสำคัญในการเลือกลิฟท์โดยสาร นอกเหนือจากเรื่องของประเภทลิฟท์ ขนาดลิฟท์ ราคาลิฟท์บ้าน และความเร็วของลิฟท์โดยสารแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือเรื่องของระบบความปลอดภัย เนื่องจากลิฟท์โดยสารทุกประเภทล้วนจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้ทำงาน ทำให้เวลาที่เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ ไฟตก และไฟไหม้ ลิฟท์จะหยุดทำงานทันทีไม่ต่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น ๆ และถ้าในเวลานั้นมีคนกำลังโดยสารอยู่ในลิฟท์ที่ไร้ระบบป้องกันรองรับ ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายต่อคนเหล่านั้นทั้งทางร่างกาย และจิตใจ หรือร้ายแรงที่สุดอาจถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นวิธีการแก้ไขปัญหานี้ ก็คือการติดตั้งระบบที่จะคอยดูแลให้ลิฟท์โดยสารให้ทำงานต่อไปได้หลังจากไฟฟ้ากระแสหลักหายไป ทว่าไม่ใช่ทุกตึก และทุกอาคารจะสามารถติดตั้งเครื่องปั่นไฟสำรองไว้คอยหล่อเลี้ยงกระแสไฟฟ้าในพื้นที่ของตัวเองได้ ดังนั้นวิธีการที่จะช่วยรับมือกับปัญหานี้ได้ดีที่สุดที่เราอยากแนะนำ ก็คือการติดตั้งระบบแบตเตอรี่สำรองไฟ (Automatic Rescue Device) และระบบ Fire Switch ส่วนแบตเตอรี่กับสวิตช์ที่ว่านี้จะทำงานอย่างไร และช่วยอะไรได้บ้าง เราตามมาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

ระบบแบตเตอรี่สำรองไฟคืออะไร แล้วช่วยแก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าดับได้อย่างไรบ้าง?
สำหรับการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นเมื่อลิฟท์โดยสารหยุดทำงานกะทันหันจากเหตุไฟฟ้าดับ หรือไฟตก คือการติดตั้งระบบแบตเตอรี่สำรอง (Automatic Rescue Device) หรือจะเรียกสั้น ๆ ว่า ARD ก็ได้ ซึ่งระบบนี้จะเป็นระบบไฟฟ้าสำรองฉุกเฉินที่จะทำงานทันทีเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าดับ หรือมีการขัดข้องใด ๆ เกี่ยวกับระบบไฟฟ้าเกิดขึ้น โดยจะทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าในปริมาณที่เหมาะสมให้กับมอเตอร์ และส่วนต่าง ๆ ของลิฟท์โดยสารให้สามารถทำงานต่อไปได้ เพื่อป้องกันลิฟท์ค้างระหว่างชั้น อย่างไรก็ตาม คำว่ากลับมาทำงานอีกครั้งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการกลับมารับ-ส่งผู้โดยสารขึ้นลงแต่ละชั้นได้ตามเดิม แต่เป็นการจ่ายไฟให้ลิฟท์เคลื่อนที่ไปจอดยังชั้นที่ใกล้ที่สุด และปล่อยให้ผู้โดยสารทุกคนสามารถเดินออกมาจากลิฟท์ได้อย่างปลอดภัย เมื่อลิฟท์ลงมาส่งผู้โดยสารในชั้นที่ใกล้ที่สุดได้แล้ว ก็จะมีเสียงเตือนฉุกเฉินดังขึ้นพร้อมกับเปิดประตูให้ทุกคนออกไป จากนั้นลิฟท์จะทำการปิดตัวลงและไม่รับคำสั่งใด ๆ ทั้งสิ้นจนกว่ากระแสไฟฟ้าจะกลับมาอีกครั้ง หลังจากนั้นถึงจะเซ็ตตัวเองใหม่แล้วกลับมาทำงานดังเดิม

ระบบ Fire Switch ระบบช่วยเหลือผู้โดยสารในลิฟท์โดยสารเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ในอาคาร
การติดตั้งระบบแบตเตอรี่สำรองไฟเพื่อเป็นไฟฟ้าสำรอง ยังช่วยให้เราเพิ่มความปลอดภัยอีกขั้นหนึ่งให้กับลิฟท์โดยสารของเราเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ และไฟฟ้าดับได้อีกด้วย ระบบนั้นก็คือ ระบบ Fire Switch นั่นเอง โดยเราขออธิบายถึงระบบนี้ออกเป็น 3 แบบดังนี้

  • ระบบ Fire Switch แบบ Manual
    ส่วนใหญ่แล้วระบบนี้จะติดตั้งสวิตช์เอาไว้บริเวณหน้าประตูชั้น 1 มีไว้สำหรับกดเรียกลิฟต์โดยสารให้ลงมาจอดยังชั้น 1 เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟดับจากเหตุเพลิงไหม้ พอลงมาถึงแล้วก็จะเปิดประตูเพื่อให้ผู้โดยสารออกมาจากลิฟต์ได้ อย่างไรก็ตามระบบนี้ไม่ได้ทำงานเองโดยอัตโนมัติ แต่มนุษย์ต้องเป็นผู้ควบคุมเอง หมายความว่าต้องมีการสอนหนีไฟให้กับคนในอาคารของเราได้รู้จักกับระบบนี้ว่า ถ้าเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้น ให้สับสวิตช์นี้ทันที เพื่อช่วยให้คนที่ติดอยู่ในชั้นสูง ๆ ได้มีโอกาสลงมายังชั้นล่างสุดอย่างปลอดภัย ในขณะที่เหตุการณ์เพลิงไหม้ยังไม่ร้ายแรง
     
  • ระบบ Fire Switch แบบอัตโนมัติ
    ระบบนี้สามารถเรียกอย่างเป็นทางการได้ว่า ระบบ Fire Alarm Detector โดยจะมีการทำงานเหมือนกันกับแบบแรกเลย เพียงแต่ว่าเราจะต้องทำการเชื่อมต่อระบบแจ้งเตือนไฟไหม้ทั่วทั้งอาคารอย่าง Manual Alarm, Alarm Detector, Smoke Detector เข้ากับระบบ Fire Alarm ภายในลิฟต์โดยสาร เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ขึ้น ระบบเหล่านี้ก็จะส่งการแจ้งเตือนเข้ามาในลิฟท์โดยสารทันที เพื่อให้ระบบ Fire Alarm Detector ทำงาน และพาลิฟท์เคลื่อนที่ลงมายังชั้นล่างสุดโดยอัตโนมัติ แบบไม่จำเป็นต้องมีคนกดสวิตช์เลย 
  • ระบบ Fire Man Switch
    นอกจากสองระบบที่กล่าวมาแล้ว ยังมีระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักดับเพลิงเพิ่มเข้ามาอีกขั้นหนึ่งด้วย เรียกว่าระบบ Fire Man Switch โดยระบบนี้จะทำงานเหมือนกันกับระบบ Fire Alarm Detector ทั้งหมด กล่าวคือพอมีการแจ้งเตือนเกิดขึ้นจนลิฟต์โดยสารพาคนที่อยู่ในลิฟท์ทั้งหมดลงมาส่งยังชั้นล่างแล้ว ลิฟท์จะไม่หยุดทำงานทันที แต่จะเปลี่ยนเข้าสู่โหมด Fire Man Switch ให้เหล่านักผจญเพลิงสามารถควบคุมการทำงานในลิฟท์ได้ทันที โดยพวกเขาสามารถเลือกได้ว่าจะไปยังชั้นไหน แต่ผู้คนด้านนอกลิฟท์จะไม่สามารถกดเรียกให้ลิฟท์หยุดได้ มีเพียงคนที่อยู่ในลิฟท์เท่านั้นที่เป็นผู้ควบคุม อย่างไรก็ตามการใช้งานอาจจะอยู่ได้ไม่นานนักขึ้นอยู่กับขนาดของระบบแบตเตอรี่สำรองที่ติดตั้งเอาไว้ด้วย ดังนั้นถ้าต้องใช้งานโหมดนี้จริง ๆ ควรแจ้งเตือนระยะเวลาที่แน่นอนให้กับเหล่านักผจญเพลิงที่ทำหน้าที่เหล่านี้ด้วย

หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าทุกคนน่าจะเข้าใจกันมากขึ้นแล้วว่าระบบแบตเตอรี่สำรองไฟ (Automatic Rescue Device) และระบบ Fire Switch นั้นคืออะไร มีกระบวนการทำงานอย่างไร และช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับอาคาร และผู้ใช้งานลิฟต์โดยสารของเราอย่างไรได้บ้าง ซึ่งเราก็ยังยืนยัน และขอแนะนำให้ทุกคนที่ต้องการติดตั้งลิฟท์โดยสาร ติดตั้งสองระบบนี้เข้าไปด้วยจะดีที่สุด

และสำหรับองค์กร บริษัท หรือสถานที่ใดที่กำลังมองหาบริษัทที่รับติดตั้งลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ส่งอาหาร ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ หรือลิฟท์บ้าน ราคาย่อมเยาที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ รวมถึงทีมช่างผู้ออกแบบ และติดตั้งที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการบริการด้านงานลิฟท์ บริษัท เจเค คอนซัลท์เซอร์วิส ซีสเต็ม จํากัด ยินดีให้บริการทุกท่าน พร้อมรับประกันคุณภาพบริการงานด้านลิฟท์ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่คอยดูแลทุกท่านแบบครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการจำหน่าย การติดตั้ง และการซ่อมลิฟท์ ครบจบในที่เดียว

 

สนใจติดตั้งลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ในบ้าน (Home lift) ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ส่งอาหาร พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษได้ที่

โทร
ติดต่อ
line
Read More
ลิฟท์โดยสาร

วิธีทำความสะอาดลิฟท์โดยสารอย่างถูกวิธี ปลอดภัยกับผู้ใช้งาน

แนะนำขั้นตอนการทำความสะอาดลิฟท์โดยสาร พร้อมข้อควรระวังในการใช้งานอย่างถูกวิธี

หลังจากเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 คนทั่วโลกก็ให้ความสนใจกับเรื่องสุขอนามัย และความสะอาดกันมากขึ้น จนปัจจุบันนิสัยการระวังตัว และหลีกเลี่ยงสถานที่ที่ดูไม่น่าไว้ใจ ก็ได้กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ที่ติดตัวใครหลาย ๆ คนไปแล้ว โดยเฉพาะการใช้งานลิฟท์โดยสารที่เป็นพื้นที่อับ ๆ แคบ ๆ และมีผู้คนแออัดอยู่เป็นประจำ ถ้าเกิดมองไปแล้วยังเห็นร่องรอยความสกปรกทั่วลิฟท์อีก เชื่อว่าสถานที่ของเราต้องได้คะแนนติดลบจากผู้ใช้บริการแน่นอน ดังนั้นการทำความสะอาดลิฟท์โดยสารเป็นประจำจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะนอกจากจะเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการบำรุงรักษาลิฟท์ให้มีอายุการใช้งานยาวนาน และไม่เก่าเร็วแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้สถานที่ของเราดูสะอาดสวยงามน่าใช้อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย เพื่อช่วยให้ทุกสถานที่สามารถดูแลรักษาความสะอาดของลิฟท์โดยสารได้อย่างถูกวิธี ปลอดภัยกับผู้ใช้งาน วันนี้ บริษัท เจเค คอนซัลท์เซอร์วิส ซีสเต็ม จํากัด เลยจะมาแนะนำขั้นตอนการทำความสะอาดลิฟท์โดยสารอย่างละเอียด พร้อมเสนอแนะข้อควรระวังระหว่างทำความสะอาดด้วย จะได้ปลอดภัยทั้งผู้ใช้งาน และคนดูแลทำความสะอาดทุกคน

ขั้นตอนการทำความสะอาดลิฟท์โดยสารอย่างถูกวิธี

  1. ปัดกวาดฝุ่นผงทุกซอกทุกมุมของลิฟท์โดยสารออกให้หมดจด
    ความจริงแล้วขั้นตอนแรกของการทำความสะอาดลิฟท์โดยสารก็ไม่ต่างจากการทำความสะอาดบ้าน หรือสถานที่ทั่วไปสักเท่าไร เพราะสิ่งที่เราต้องโฟกัส และเริ่มทำความสะอาดก่อนเป็นอย่างแรก ก็คือการเก็บขยะเป็นชิ้น ๆ ที่ตาเราเห็น จากนั้นก็ปัดกวาดฝุ่น ผง ก้อนกรวด และเศษดินทั้งหมดที่ตกค้างอยู่ในลิฟท์โดยสารออกไปให้หมดเสียก่อน เนื่องจากลิฟท์โดยสารนั้นมีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ทำให้เวลาที่แต่ละคนเดินเข้ามา ย่อมต้องมีเศษผง และเศษดินติดรองเท้ามาด้วยอยู่แล้ว ถ้าเราไม่กำจัดฝุ่นบนพื้นให้หมดก่อนแล้วข้ามไปขั้นตอนอื่นเลย ก็จะทำให้ทำความสะอาดได้ไม่ดีพอ โดยเราสามารถใช้เครื่องดูดฝุ่นมาดูดออกไปให้หมดได้ แต่นอกจากทำความสะอาดฝุ่นบนพื้นแล้ว ต้องอย่าลืมดูแลเรื่องฝุ่นผงที่เกาะอยู่ตามซอก และร่องต่าง ๆ ของส่วนบานพับเปิด-ปิดประตูลิฟท์ รวมไปถึงก้อนดินหรือก้อนหินเล็ก ๆ ที่ตกค้างอยู่ในร่องธรณีประตูด้วย
    ข้อควรระวัง: ตอนเริ่มต้นทำความสะอาดลิฟท์โดยสารอย่าลืมล็อกลิฟท์โดยสารให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ เช่นการเผลอกดปุ่มต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้อย่าลืมสวมถุงมือ และหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันฝุ่นด้วย
  2. ฆ่าเชื้อโรค และทำความสะอาดลิฟท์โดยสารด้วยน้ำยาทำความสะอาดให้ทั่ว
    หลังจากทำความสะอาดฝุ่นผงต่าง ๆ จนมั่นใจว่าหมดจดแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หลังจากพ่นไปตามจุดต่าง ๆ อย่างบริเวณผนังลิฟท์ ประตูลิฟท์ และตามร่องธรณีประตูของลิฟท์โดยสารแล้วก็ให้เราทำการเช็ดถูให้สะอาด ในส่วนของกระจกภายในลิฟท์ (ถ้ามี) ก็ให้ใช้น้ำยาเช็ดกระจกได้ เพราะจะช่วยให้กระจกมีความเงาใสได้ง่ายขึ้น สำหรับส่วนของพื้นลิฟท์จะใช้น้ำยาทำความสะอาดเหมือนกันก็ได้ หรือจะใช้ผ้าชุบน้ำยาถูพื้นหมาด ๆ มาเช็ดก็ได้เช่นกัน
    ข้อควรระวัง: น้ำยาทำความสะอาดที่นำมาใช้จะจะต้องไม่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง โดยเฉพาะกับเหล็ก หรือสเตนเลส เพราะลิฟท์โดยสารทำมาจากวัสดุเหล่านี้จึงอาจทำให้เกิดความเสียหายได้
  3. ทำความสะอาดแผงควบคุมลิฟท์โดยสาร
    อีกหนึ่งจุดที่เราต้องใส่ใจเป็นพิเศษคือส่วนของแผงหน้าปัดทั้งภายใน และภายนอกลิฟท์โดยสาร เพราะเป็นส่วนที่สัมผัสกับนิ้วมือของผู้คนบ่อยมากที่สุด จึงต้องทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดเหมือนกัน หลังจากที่ทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อแล้ว ก็ขอแนะนำใช้เลือกใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์มาเช็ดซ้ำอีกที เพื่อความสะอาดเงาวับไร้รอยนิ้วมือตกค้าง
    ข้อควรระวัง: ด้วยความที่ส่วนนี้เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า ถ้าเราฉีดน้ำยาทำความสะอาดใกล้ ๆ หรือให้โดนส่วนแผงควบคุมในคราวละมาก ๆ น้ำยาอาจจะแทรกซึมลงไปในแผงวงจรจนเกิดการช็อต หรือชำรุดได้ ดังนั้นต้องระวังให้ดี
  4. ทำความสะอาดหลอดไฟภายในลิฟท์โดยสาร
    สำหรับขั้นตอนการทำความสะอาดหลอดไฟภายในลิฟท์โดยสารนั้น สามารถทำได้ง่ายมาก ๆ เพียงใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาเช็ดหลอดไฟ และกรอบต่าง ๆ ของหลอดไฟ เพื่อขจัดคราบ และฝุ่นต่าง ๆ ออกไปให้หมด หลังจากเช็ดจนมั่นใจแล้วว่าสะอาดก็ให้นำผ้าแห้งมาเช็ดซ้ำอีกที เพื่อไม่ให้เหลือน้ำเกาะหลอดไฟเอาไว้ อย่างไรก็ตามการทำความสะอาดส่วนนี้ไม่จำเป็นต้องทำบ่อย เพียงปีละอย่างน้อย 2 ครั้งก็พอ
    ข้อควรระวัง: ก่อนทำความสะอาดหลอดไฟทุกครั้งอย่าลืมปิดระบบไฟให้ครบ จากนั้นให้ถอดหลอดไฟออกมาจากขั้วเพื่อเช็ดทำความสะอาด

เป็นอย่างไรกันบ้างกับขั้นตอนการทำความสะอาดลิฟท์โดยสารอย่างถูกวิธี เพียงแค่ทำตาม 4 ขั้นตอนง่าย ๆ เหล่านี้ ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานของลิฟท์โดยสาร และทำให้ลิฟท์สะอาดปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้ใช้งานได้แล้ว
และสำหรับองค์กร หรือบริษัทใดที่กำลังมองหาบริษัทรับติดตั้งลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ส่งอาหาร หรือลิฟท์บ้าน ราคาย่อมเยาที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการบริการ บริษัท เจเค คอนซัลท์เซอร์วิส ซีสเต็ม จํากัด ยินดีให้บริการทุกท่าน พร้อมรับประกันคุณภาพด้วยทีมงานมืออาชีพที่คอยดูแลทุกท่านแบบครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการจำหน่าย การติดตั้ง และการซ่อมลิฟท์ ครบจบในที่เดียว

สนใจติดตั้งลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ในบ้าน (Home lift) ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ส่งอาหาร พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษได้ที่

โทร
ติดต่อ
line
Read More
ลิฟท์ในบ้าน

ประเภทลิฟท์ในบ้าน พร้อมแนะนำบริษัทผู้เชี่ยวชาญงานลิฟท์บ้าน ราคาถูก!

ไขข้อข้องใจ! ลิฟท์ในบ้าน (Home lift) มีกี่ประเภท พร้อมแนะนำบริษัทผู้จัดนำหน่ายลิฟท์บ้าน ราคาถูก!

สำหรับหลาย ๆ ท่านที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ลิฟท์ในบ้าน’ หรือ ‘Home lift’ เพื่อพิจารณาในการติดตั้งไว้ใช้งาน จะต้องอยากรู้กันเป็นแน่ว่าในปัจจุบันลิฟท์บ้านมีด้วยกันทั้งหมดกี่ประเภท แล้วถ้าอยากจะติดตั้งลิฟท์บ้าน ราคาไม่แพงต้องเลือกใช้บริการบริษัทไหนดี ถึงจะได้ลิฟท์บ้านที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และราคาย่อมเยา หากใครกำลังสงสัยเรื่องนี้อยู่พอดีล่ะก็ บทความนี้ JK ELEVATOR ได้รวบรวมทุกคำตอบที่ทุกคนสงสัยมาไขให้กระจ่างแล้ว โดยเราจะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับประเภทของลิฟท์ในบ้าน พร้อมแนะนำบริษัทผู้เชี่ยวชาญงานลิฟท์บ้าน ราคาถูกที่จะต้องถูกใจทุกคนอย่างแน่นอน

ประเภทของลิฟท์ในบ้าน (Home lift) มีอะไรบ้าง?

การแบ่งประเภทลิฟท์นอกจากจะแบ่งตามประเภทการใช้งานอย่างลิฟท์โดยสาร, ลิฟท์ในบ้าน, ลิฟท์ขนของ, ลิฟท์ส่งของ และลิฟท์ส่งอาหารแล้ว ก็ยังมีการแบ่งประเภทตามระบบที่ใช้ในการขับเคลื่อนลิฟท์ด้วย ซึ่งลิฟท์ในบ้าน (Home lift) ก็มีระบบการใช้งานให้เลือกมากถึง 3 ประเภทหลัก ๆ โดยเราจะขออธิบายให้ทุกคนเข้าใจง่าย ๆ ไปทีละประเภทดังนี้

  1. ลิฟท์บ้านระบบ Hydraulic System ลิฟท์บ้าน (Home lift)
    ประเภทนี้จะใช้ระบบไฮดรอลิกในการเคลื่อนย้ายลิฟท์ขึ้น และลง ซึ่งส่วนสำคัญของระบบนี้จะเป็นส่วนของกระบอกสูบที่มีการบรรจุของเหลวเอาไว้ด้านใน วิธีการทำงานของระบบนี้คือจะทำการปั๊มของเหลวภายในนั้นให้เกิดแรงดันขึ้นมา เพื่อควบคุม และขับเคลื่อนส่วนต่าง ๆ ของเครื่องจักรให้ทำการยกลิฟท์ขึ้น และลง ข้อดีของลิฟท์บ้านแบบไฮดรอลิกคือไม่ค่อยส่งเสียงดังระหว่างทำงาน มีการทำงานที่ค่อนข้างลื่นไหล และยังมีราคาถูกกว่าประเภทอื่น ๆ ในส่วนของความสูงที่ลิฟท์บ้านประเภทนี้ใช้ได้จะอยู่ที่ประมาณ 3 ชั้น ใช้เวลาประมาณ 15 – 25 วินาทีต่อชั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นระบบไฮดรอลิกก็ยังมีการทำงานแยกย่อยลงไปอีกหลายแบบ ซึ่งบางแบบก็จำเป็นต้องมีการใช้พื้นที่ในการติดตั้งห้องเครื่องแยกออกมาต่างหาก หรือบางแบบก็ไม่จำเป็นต้องใช้เลย ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจเลือกลิฟท์ในบ้านแบบไหน ควรปรึกษาบริษัทลิฟท์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ให้ทำการประเมินก่อนจะดีที่สุด
  2. ลิฟท์บ้านแบบ Screw Driven System ลิฟท์บ้าน (Home lift)
    แบบระบบสกรู เป็นลิฟท์บ้านประเภทหนึ่งที่ใช้กลไกสกรูเพื่อยก และลดระดับลิฟท์ ระบบนี้จะประกอบไปด้วยสามส่วนสำคัญ ได้แก่ มอเตอร์ เกียร์ และแกนสกรู สำหรับข้อดีของลิฟท์บ้านประเภทนี้ คือเรื่องของพื้นที่ในการติดตั้ง เพราะเราไม่จำเป็นต้องสร้างห้องเครื่องแยกออกมาต่างหาก และสามารถติดตั้งมอเตอร์กับเกียร์ตรงด้านบนของเพลาลิฟท์ได้เลย ลิฟท์บ้านประเภทนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด นอกจากนี้ลิฟท์บ้านแบบสกรูยังโดดเด่นเรื่องการประหยัดพลังงาน (ประหยัดมากกว่าระบบไฮดรอลิก) เนื่องจากไม่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาตำแหน่งของลิฟท์เอาไว้ เมื่อยกลิฟท์ขึ้นมาถึงจุดที่ต้องการแล้ว ก็สามารถปิดมอเตอร์ได้เลย เพราะลิฟท์จะค้างอยู่กับที่จนกว่าจะถูกเรียกให้ทำงานอีกครั้ง ส่วนความสูงที่ลิฟท์สามารถเคลื่อนที่ได้จะอยู่ที่ 3 ชั้น ใช้เวลาประมาณ 15 – 25 วินาทีต่อชั้น อย่างไรก็ตามลิฟท์บ้านแบบขับเคลื่อนด้วยสกรูมักจะทำงานช้ากว่า และมีเสียงดังกว่าลิฟท์บ้านประเภทอื่น ๆ รวมทั้งต้องคอยดูแลเรื่องการบำรุงรักษามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากแกนสกรู และน็อตสามารถสึกหรอได้เมื่อใช้งานนาน ๆ
  3. ลิฟท์บ้านแบบ Hoisting System (Traction Machine) ลิฟท์บ้าน (Home lift)
    ประเภทนี้จะใช้ระบบรอก หรือที่เรียกว่าเครื่องลากในการชักลิฟท์ให้เคลื่อนที่ ประกอบด้วยสามส่วนสำคัญ ได้แก่ มอเตอร์ ชุดเกียร์ และเบรก ถ้าเทียบลิฟท์บ้านระบบนี้กับระบบอื่น ๆ แล้ว ระบบรอกนับว่าทำงานได้รวดเร็วกว่า เงียบกว่า และยังประหยัดพลังงานมากกว่าระบบอื่น ๆ หลายส่วน สังเกตได้จากสามารถขับเคลื่อนลิฟท์ได้อย่างไม่จำกัดความสูง อีกทั้งยังใช้เวลาในการเคลื่อนที่ไปในแต่ละชั้นเพียง 3 – 8 วินาทีเท่านั้นเอง แต่ด้วยคุณภาพที่สูงขึ้นก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงมากขึ้น และต้องติดตั้งห้องเครื่องแยกออกมาต่างหาก จึงเหมาะกับบ้านเรือนที่มีพื้นที่มากนั่นเอง


    สรุปวิธีการพิจารณาการเลือกลิฟท์ในบ้าน (Home lift) แบบเบื้องต้น ผ่าน 3 ความต้องการง่าย ๆ 
    ถ้าใครเน้นลิฟท์บ้าน (Home lift) ที่ช่วยเรื่องประหยัดไฟ ให้เลือกลิฟท์แบบ รอก>สกรู>ไฮดรอลิก ถ้าใครเลือกลิฟท์บ้าน (Home lift) จากเรื่องพื้นที่ใช้สอย เพราะที่บ้านมีพื้นที่น้อย ก็สามารถเลือกเป็น สกรู = ไฮดรอลิก>รอกถ้าเน้นลิฟท์บ้าน (Home lift) จากเรื่องราคาถูกให้เลือกเป็น ไฮดรอลิก>สกรู>รอก
    บริษัท เจเค คอนซัลท์เซอร์วิส ซีสเต็ม จํากัด บริษัทผู้จัดจำหน่ายลิฟท์บ้าน ราคาถูก เพราะเราเข้าใจดีว่าการติดตั้งลิฟท์บ้าน (Home lift) นั้นเป็นเรื่องสำคัญมากแค่ไหน จึงต้องใช้บริการกับบริษัทที่ไว้ใจได้จริง ๆ ดังนั้นเราเลยอยากจะปิดท้ายบทความด้วยการแนะนำให้ทุกคนได้ลองใช้บริการของ บริษัท เจเค คอนซัลท์เซอร์วิส ซีสเต็ม จํากัด เพราะเป็นบริษัทที่ดูแลเรื่องลิฟท์แบบครบวงจร มีราคาลิฟท์บ้านที่เป็นมาตรฐาน อีกทั้งยังมีทีมช่างผู้เชี่ยวชาญที่คอยทุ่มเทให้กับทุกงานเพื่อให้บริการที่ดีที่สุด ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การประเมินพื้นที่เบื้องต้น ไปจนถึงการตรวจสอบ ซ่อมลิฟท์ และบำรุงรักษาลิฟท์เป็นประจำรายเดือน หรือรายปีขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า

สนใจติดตั้งลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ในบ้าน (Home lift) ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ส่งอาหาร พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษได้ที่

โทร
ติดต่อ
line
Read More
ลิฟท์โดยสาร

เลือกลิฟท์โดยสารอย่างไร ให้เหมาะสมกับอาคารสูงแต่ละประเภท

เลือกลิฟท์โดยสารอย่างไร ให้เหมาะสมกับอาคารสูงแต่ละประเภท

แนะนำ 3 หลักการเลือกใช้ลิฟท์โดยสาร ภายในอาคารสูงประเภทต่าง ๆ

เชื่อว่าสำหรับเจ้าของอาคารสูงต่าง ๆ หรือคนที่กำลังจะสร้างอาคารสูงอย่าง อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาลและโรงแรมต่าง ๆ ต้องเล็งเห็นถึงความสำคัญของการติดตั้งลิฟท์โดยสารอย่างแน่นอน เพราะเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อผู้พักอาศัยและผู้ที่เข้ามาใช้บริการในพื้นที่ของเราเป็นอย่างมาก หากขาดลิฟท์โดยสารไป นอกจากจะเพิ่มความลำบากให้กับผู้ใช้งานแล้ว ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์อาคารและธุรกิจของคุณอีกด้วย หรือจะเรียกว่าเป็นการด้อยคุณภาพของอาคารตัวเองเลยก็คงไม่เกินจริงเช่นกัน ด้วยเหตุนี้การสร้างอาคารสูงจึงต้อง คำนึงถึงการเลือลิฟท์โดยสารเข้ามาด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะเป็นอาคารสูงเหมือน ๆ กัน มีจำนวนชั้นเท่า ๆ กัน แต่ก่อนที่จะทำการติดตั้งลิฟท์โดยสาร ทุกคนจำเป็นต้องพิจารณาหลาย ๆ ปัจจัยให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เพราะอาคาร หรือสถานที่แต่ละแห่งนั้น มีเกณฑ์ในการเลือกลิฟท์ให้เหมาะสมแตกต่างกันนั่นเอง เพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถคำนวนและเข้าใจวิธีการเลือกลิฟท์โดยสารให้เหมาะสมกับอาคารสูงแต่ละประเภทได้อย่างคล่องแคล่ว บทความนี้ JK ELEVATOR จะมาบอกถึง 3 หลักการเลือกใช้ลิฟท์โดยสาร ภายในอาคารสูงประเภทต่าง ๆ ให้ทุกคนได้ฟังกัน

1. ขนาดของลิฟท์โดยสาร

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ขนาดของลิฟท์โดยสารนั้นเป็นสิ่งแรกที่เจ้าของอาคารสูงประเภทต่าง ๆ ต้องคำนึงถึง เนื่องจากการติดตั้งลิฟท์โดยสารสำหรับอาคารสูงนั้นแตกต่างจากการติดตั้งลิฟท์บ้าน (home lift) ลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ขนของ หรือลิฟท์ส่งอาหาร ที่มีลักษณะสิ่งของที่ต้องขนส่งแบบตายตัวและมีผู้ใช้งานพร้อมกันจำนวนไม่มาก ทำให้สิ่งที่ต้องกังวลเกี่ยวกับลิฟท์เหล่านี้ น่าจะเป็นเรื่องของราคาลิฟท์บ้านว่าจะแพงมากเกินไปหรือเปล่า มากกว่าการกังวลเรื่องของขนาดลิฟท์แบบอาคารสูง โดยเหตุผลที่ขนาดลิฟท์โดยสารเป็นเรื่องสำคัญสำหรับอาคารสูง มาจากจำนวนผู้ใช้งานพร้อมกัน ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล หรือโรงแรม การติดตั้งลิฟท์ให้สามารถบรรจุคนได้เป็นจำนวนมาก ถือเป็นเรื่องจำเป็น เพราะยิ่งขนส่งได้รวดเร็วเท่าไร ก็จะส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้งานมากเท่านั้น นอกจากนี้การเลือกลิฟท์โดยสารขนาดใหญ่ยังช่วยอำนวยความสะดวกเมื่อผู้ใช้งานต้องการขนสินค้าที่พวกเขาจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ของเรา สามารถขนกระเป๋าเดินทางได้ หรือสามารถขนผู้ป่วยบนรถเข็นวีลแชร์ หรือเตียงพยาบาลได้อีกด้วย สำหรับขนาดลิฟท์ที่แนะนำมีดังนี้

2. จำนวนลิฟท์โดยสาร

บางครั้งแค่ลิฟท์ขนาดใหญ่และบรรจุคนได้เยอะเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากการใช้ลิฟท์โดยสารย่อมต้องมีการหยุดจอดเพื่อส่งคนในแต่ละชั้น ทำให้คนที่รอตามชั้นต่าง ๆ ต้องรอนานมากกว่าจะลิฟท์จะวนมาถึงรอบของตน ดังนั้นอาคารสูงหลาย ๆ แห่งอย่างโรงแรม โรงพยาบาลและคอนโดมิเนียม ควรมีลิฟท์โดยสารมากกว่าหนึ่งตัว แน่นอนว่าพอเราบอกเงื่อนไขแบบนี้ออกไป หลาย ๆ คนก็จะเกิดคำถามตามมาอีกว่า แล้วหลายตัวที่ว่าต้องกี่ตัวกันแน่? แล้วจะใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกดี? หากใครกำลังสงสัยแบบนี้อยู่ เราขอแบ่งวิธีคิดจำนวนลิฟท์โดยสารออกเป็น 3 แบบง่าย ๆ โดยยึดเกณฑ์จากอาคารสูงที่มีจำนวนห้อง หรือจำนวนคนพักอาศัยชัดเจน ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังนี้
อาคารที่พักอาศัย/คอนโดมิเนียม: ควรติดตั้งลิฟท์โดยสาร 80 – 100 ห้อง/เครื่อง หมายความว่า ถ้ามีถึง
160 – 200 ห้องก็ติดตั้ง 2 เครื่องเป็นต้น
โรงแรม: ควรติดตั้งลิฟท์โดยสาร 100 – 140 ห้อง/เครื่อง หมายความว่า ถ้ามีถึง 200 – 280 ห้องก็ติดตั้ง 2 เครื่องเป็นต้น
โรงพยาบาล: ควรติดตั้งลิฟท์โดยสาร 100 – 150 เตียง/เครื่อง หมายความว่า ถ้ามีถึง 200 – 300 เตียงก็ติดตั้ง 2 เครื่องเป็นต้น

3. ความเร็วของลิฟท์โดยสาร

อย่างที่เราเคยพูดกันไปว่าลิฟท์โดยสารนั้นแตกต่างจากลิฟท์ในบ้าน หรือลิฟท์ประเภทอื่น ๆ เนื่องจากลิฟท์ประเภทอื่น ๆ มีการขนส่งน้อยชั้นกว่า ส่งผลให้คนที่ต้องการติดตั้งลิฟท์เหล่านั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของความเร็วลิฟท์ เท่ากับคนที่ต้องการติดตั้งลิฟท์โดยสารสำหรับอาคารสูง ดังนั้นปัจจัยข้อต่อไปที่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญต่อการเลือกลิฟท์โดยสาร ก็คือเรื่องของความเร็วนั่นเอง เพราะอาคารสูงจำเป็นต้องเคลื่อนที่ไปหลายชั้นและรับคนในปริมาณมาก หากเลือกความเร็วที่ไม่สมดุลกับความสูงของอาคาร ย่อมส่งผลให้การขนส่งผู้โดยสารไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร โดยเราสามารถเลือกความเร็วของลิฟท์ตามจำนวนชั้นได้ดังนี้

  • ลิฟท์โดยสารสำหรับ 4 ชั้น: ควรเลือกลิฟท์ที่สามารถใช้ความเร็วได้ 45 – 60 เมตร/นาที
  • ลิฟท์โดยสารสำหรับ 6 ชั้น: ควรเลือกลิฟท์ที่สามารถใช้ความเร็วได้ 60 – 90 เมตร/นาที
  • ลิฟท์โดยสารสำหรับ 9 ชั้น: ควรเลือกลิฟท์ที่สามารถใช้ความเร็วได้ 90 – 105 เมตร/นาที
  • ลิฟท์โดยสารสำหรับ 10 ชั้น: ควรเลือกลิฟท์ที่สามารถใช้ความเร็วได้ 105 – 120 เมตร/นาที
  • ลิฟท์โดยสารสำหรับ 20 ชั้น: ควรเลือกลิฟท์ที่สามารถใช้ความเร็วได้ 120 – 150 เมตร/นาที
  • ลิฟท์โดยสารสำหรับ 30 ชั้น: ควรเลือกลิฟท์ที่สามารถใช้ความเร็วได้ 150 – 210 เมตร/นาที
  • ลิฟท์โดยสารสำหรับ 40 ชั้น: ควรเลือกลิฟท์ที่สามารถใช้ความเร็วได้ 210 – 360 เมตร/นาที
  • ลิฟท์โดยสารสำหรับ 50 ชั้น: ควรเลือกลิฟท์ที่สามารถใช้ความเร็วได้ 360 – 420 เมตร/นาที
  • ลิฟท์โดยสารสำหรับ 60 ชั้น: ควรเลือกลิฟท์ที่สามารถใช้ความเร็วได้ 420 – 600 เมตร/นาที

ทั้งหมดนี้คือ 3 หลักการเลือกใช้ลิฟท์โดยสาร ภายในอาคารสูงประเภทต่าง ๆ ที่ JK ELEVATOR รวบรวมข้อมูลมาฝากทุกคน เชื่อว่าตอนนี้คนที่กำลังคิดจะเลือกลิฟท์โดยสารเพื่อติดตั้งในอาคารสูงประเภทต่าง ๆ คงจะทราบแล้วว่าต้องคำนึงถึงปัจจัยอะไรบ้างและมีเกณฑ์การเลือกลิฟท์โดยสารแบบใด

สำหรับองค์กร หรือบริษัทใดที่กำลังมองหาบริษัทรับติดตั้งลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ส่งอาหาร หรือลิฟท์บ้าน ราคาย่อมเยาที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและความปลอดภัย บริษัท เจเค คอนซัลท์เซอร์วิส ซีสเต็ม จํากัด ยินดีให้บริการทุกท่าน พร้อมรับประกันคุณภาพด้วยทีมงานมืออาชีพที่คอยดูแลทุกท่านแบบครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการจำหน่าย การติดตั้ง และการซ่อมลิฟท์ ครบจบในที่เดียว


สนใจติดตั้งลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ในบ้าน ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษได้ที่

โทรศัพท์ : 02-9489112, 081-644-6198, 094-665-6495, 089-785-5557
LINE : https://line.me/ti/p/~0816446198
E-mail : ittikorn.jkelevator@gmail.com
E-mail : natchuda.jkelevator@gmail.com

Read More

ลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ในบ้าน ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ต่างกันยังไง?

ลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ในบ้าน ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ ต่างกันยังไง?

ทำความรู้กับกับลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ในบ้าน ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของก่อนตัดสินใจใช้งาน

ใครว่าจะมีแต่ห้างสรรพสินค้า หรืออาคารสูง ๆ เท่านั้นที่สามารถติดตั้งลิฟท์ได้ เพราะในปัจจุบันมีลิฟท์ในบ้าน(home lift) หลายแบบให้เลือกติดตั้งกันได้ตามสะดวก โดยประโยชน์ของการติดตั้งลิฟท์ในบ้าน (home lift) จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ รวมไปถึงคนทั่วไปอย่างเรา ๆ ให้เหนื่อยน้อยลงได้และเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น ซึ่งในบทความนี้ JK ELEVATOR จะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับลิฟท์ว่ามีด้วยกันทั้งหมดกี่แบบ และลิฟท์แต่ละแบบอย่างไร อาจช่วยในการตัดสินใจก่อนเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้อง

ลิฟท์ในบ้าน (home lift) คืออะไร?

ก่อนที่เราจะไปพูดถึงประเภทและความแตกต่างในการใช้งานของลิฟท์แต่ละประเภท เรามาเริ่มต้นกันด้วยการทำความรู้จักกับลิฟท์ในบ้าน (home lift) ให้กระจ่างกันเสียก่อน โดยลิฟท์ในบ้าน (home lift) ก็เหมือนกับลิฟท์ทั่ว ๆ ไปที่เราเคยเห็นกัน เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า เคลื่อนที่ได้ช้ากว่าและถูกออกแบบมาให้ใช้ภายในบ้านโดยเฉพาะ กล่าวคือเราไม่จำเป็นต้องสร้างบ่อ หรือห้องเครื่องเพื่อขับเคลื่อนลิฟท์ให้ทำงานเหมือนกับลิฟท์โดยสารในห้างสรรพสินค้า หรือตึกสูง ๆ ทั่วไปที่เราพบเห็น ในส่วนของราคาลิฟท์บ้าน เมื่อรวมเข้ากับค่าติดตั้งทั้งหมดแล้ว จะเริ่มต้นที่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน ขึ้นอยู่กับขนาด ระบบ และน้ำหนักที่ลิฟท์สามารถรองรับได้ รวมไปถึงบริษัทที่ทำการว่าจ้างให้ติดตั้งลิฟท์ด้วย โดยลิฟท์ในบ้าน (home lift) จะสามารถติดตั้งได้ทั้งหมด 3 ระบบ ดังนี้

  1. ลิฟท์ในบ้าน ระบบไฮดรอลิก (Hydraulic Lift): ลิฟท์ในบ้าน (home lift) ระบบนี้จะขับเคลื่อนลิฟท์โดยสารแบบ Full Cabin ด้วยการใช้แรงดันจากการปั๊มของกระบอกไฮดรอลิกโดยตรง ซึ่งเราสามารถเรียกกระบวนการนี้ได้ว่า Direct Drive Hydraulic เหมาะสำหรับบ้านที่สูงไม่เกิน 6 ชั้น หรือประมาณ 23 เมตร แต่การจะทำให้ระบบนี้ทำงานได้ จำเป็นต้องเปิดมอเตอร์ให้ทำงานตลอดเวลา จึงค่อนข้างกินไฟกว่าระบบอื่น
  2. ลิฟท์ในบ้าน ระบบสกรู (Screw Driven Platform Lift): ลิฟท์ในบ้าน (home lift)ที่ใช้ระบบนี้ จะมีลักษณะเป็นแพลตฟอร์มโล่ง ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ Screw Driven ที่ใช้แรงบิดของ Lead Screw ในการทำให้ลิฟท์สามารถเคลื่อนที่ขึ้น – ลงได้ เหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่จำกัดและสูงไม่เกิน 4 ชั้น หรือประมาณ 15 เมตร ติดตั้งง่าย รวดเร็ว ไม่ซับซ้อนและกินไฟน้อยกว่าระบบไฮดรอลิก
  3. ลิฟท์ในบ้าน ระบบสลิง (MRL Brushless Home Lift): ลิฟท์ในบ้าน (home lift) ระบบนี้เป็นระบบที่เรียบง่ายที่สุด กินไฟน้อยที่สุดและมีราคาถูกที่สุดด้วย โดยลิฟท์ในบ้าน (home lift) ระบบนี้จะใช้สายเคเบิ้ลเป็นตัวชักรอกลิฟท์ให้เคลื่อนที่ขึ้น – ลง ไม่จำเป็นต้องมีบ่อลึก หรือพื้นที่สำหรับห้องเครื่อง เพราะใช้เพียงแผงคอนโทรลกับมอเตอร์เท่านั้น จึงสามารถวางบนพื้นบ้านโดยตรงได้ เหมาะสำหรับบ้านที่สูงไม่เกิน 6 ชั้น หรือมีความสูงประมาณ 24 เมตร

ลิฟท์ในบ้าน (home lift) แตกต่างจากลิฟท์ประเภทอื่นอย่างไร?

มาถึงคำถามที่หลายคนสงสัย ว่าลิฟท์ในบ้านแตกต่างจากลิฟท์แบบอื่นอย่างไร? ซึ่งลิฟท์ประเภทอื่น ๆ ที่ว่านี้ ก็คือ ลิฟท์โดยสารทั่วไป ลิฟท์ขนของ และลิฟท์ส่งอาหาร ความจริงแล้วต้องบอกเลยว่าความแตกต่างของลิฟท์ทั้งสามแบบขึ้นอยู่กับหน้าที่การใช้งาน ขนาด ความเร็ว รวมไปถึงวิธีการติดตั้ง ซึ่งเราจะมาอธิบายรายละเอียดของลิฟท์แต่ละแบบให้ฟัง จะได้มองเห็นภาพความแตกต่างได้ชัดเจนขึ้น

      1. ลิฟท์โดยสารทั่วไป VS ลิฟต์บ้าน
        สำหรับลิฟท์โดยสารทั่วไปนั้นจะมีหน้าที่การใช้งานเหมือนกับลิฟต์บ้านเลย นั่นก็คือสามารถขนส่งคนและขนของ (น้ำหนักไม่มาก) ขึ้นไปตามชั้นต่าง ๆ ของอาคารได้ แต่ความแตกต่างคือ ลิฟท์โดยสารจะมีความเร็วสูงกว่าและมีขนาดใหญ่มากกว่าลิฟต์บ้าน รวมถึงระบบการติดตั้งก็ใหญ่กว่าและต้องใช้พื้นที่มากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงได้แบบไม่จำกัดจำนวนชั้น แตกต่างกับลิฟต์บ้านที่จำกัดอยู่ที่ 6 ชั้นเท่านั้น ลิฟท์โดยสารเลยเหมาะกับอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ ห้างสรรพสินค้า หรือตึกสูง ๆ

        ประเภทของลิฟท์โดยสาร ได้แก่

        • ลิฟท์โดยสารแบบมีห้องเครื่อง (Traction Elevator)
          ลิฟท์โดยสารแบบนี้จะเหมาะกับอาคารที่มีพื้นที่กว้างพอที่จะติดตั้งเครื่องลิฟท์ได้ โดยจะติดตั้งห้องเครื่องไว้ที่ชั้นบนสุดของอาคารและแบบต่อมาคือแบบไม่มีห้องเครื่อง (Room less Elevator) จะเหมาะกับอาคารที่ไม่มีพื้นที่ในการติดตั้งลิฟท์ เช่น อาคารสูงที่มาคิดติดตั้งลิฟท์ในภายหลัง แต่ไม่ได้เผื่อที่ไว้ติดตั้งลิฟท์ ก็สามารถเลือกลิฟท์โดยสารแบบนี้แทนได้ ในส่วนของความเร็ว ลิฟท์โดยสารทั่วไปจะเริ่มต้นที่ 60 เมตร/นาที และเร็วได้สูงสุดไม่เกิน 120 เมตร/นาที
      2. ลิฟท์ขนของ VS ลิฟต์บ้าน
        ความแตกต่างของลิฟท์ทั้งสองประเภทนี้ แตกต่างกันตั้งแต่หน้าที่การใช้งานเลย เพราะลิฟต์บ้านมีไว้เพื่อขนส่งคนจำนวนไม่มาก แต่ลิฟท์ขนของมีไว้เพื่อเคลื่อนย้ายสิ่งของจำนวนมาก เลยสามารถกำหนดน้ำหนักได้เลยว่าอยากให้ทุกหนักได้เท่าไรและอยากได้ขนาดไหนก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ ด้วยเหตุนี้ลิฟท์ขนของจึงมักติดตั้งไว้ในโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่ หรือในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อเป็นเครื่องทุ่นแรงให้กับคนงานในการเคลื่อนย้ายสินค้าให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังป้องกันความเสียหายระหว่างขนย้ายสิ่งของได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามด้วยขนาดที่ใหญ่และน้ำหนักในการบรรทุกที่มาก จึงทำให้ลิฟท์ขนของเคลื่อนที่ได้ช้ากว่าลิฟต์บ้านและลิฟท์ประเภทอื่น ๆ พอสมควรและไม่สามารถเคลื่อนที่สูงเกิน 3 ชั้นได้
      3. ลิฟท์ส่งอาหาร VS ลิฟต์บ้าน
        สำหรับคู่นี้บอกได้เลยว่าแตกต่างมาก ๆ เพราะลิฟท์ส่งอาหารนั้นเป็นลิฟท์ที่มีขนาดเล็กมากที่สุดในหมู่ลิฟท์ทั้งหมด และสามารถทุกน้ำหนักได้ไม่เกิน 500 กิโลกรัม แต่ถึงจะทุกน้ำหนักได้มากกว่าน้ำหนักมนุษย์ แต่ก็ไม่สามารถขนส่งคนได้อย่างแน่นอน เพราะเล็กเกินไป ซึ่งแตกต่างจากลิฟต์บ้านอย่างสิ้นเชิง โดยสิ่งที่ลิฟท์ส่งอาหารสามารถทำได้ ก็คือการขนส่งอาหาร ขนส่งเอกสาร จึงมักติดตั้งไว้ในร้านอาหาร โรงแรม ห้องสมุดและโรงพยาบาล เป็นต้น ในส่วนของความเร็วในการเคลื่อนที่จะอยู่ที่ 15 – 45 เมตร/นาที
        เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลของลิฟท์ในบ้านที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ พอเปรียบเทียบกับลิฟท์ประเภทอื่น ๆ อย่างลิฟท์ในบ้าน (home lift) ลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ขนของและลิฟท์ส่งอาหารแล้ว ก็คงจะเห็นภาพความแตกต่างและหน้าที่การใช้งานกันได้ชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งถ้าใครอ่านแล้วสนใจอยากติดตั้งลิฟท์บ้าน ราคาคุ้มค่า ที่บริษัท เจเค คอนซัลท์เซอร์วิส ซีสเต็ม จํากัด พวกเรามีทีมงานมืออาชีพคอยดูแลแบบครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการจำหน่าย การติดตั้งและการซ่อมลิฟท์ ไม่ต้องกลัวจะถูกทิ้งไว้กลางทางหากเกิดปัญหา


สนใจติดตั้งลิฟท์โดยสาร ลิฟท์ในบ้าน ลิฟท์ขนของ ลิฟท์ส่งของ พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษได้ที่

โทรศัพท์ : 02-9489112, 081-644-6198, 094-665-6495, 089-785-5557
LINE : https://line.me/ti/p/~0816446198
E-mail : ittikorn.jkelevator@gmail.com
E-mail : natchuda.jkelevator@gmail.com

Read More
  • 1
  • 2